วันอังคารที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2554

หลักทั่วไปในการเลือกคู่ครอง



ในการเลือกคู่ครอง นอกจากจะพิจารณาพื้นฐานด้านความรักที่ชายและหญิงมีให้แก่กันและกันแล้ว ควรพิจารณาองค์ประกอบอื่น ๆ ด้วย ดังนี้
1. เชื้อชาติ โดยทั่วไปคนเชื้อชาติเดียวกันย่อมมีภาษา ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมที่เหมือนกัน คู่ครองที่มีเชื้อชาติเดียวกันจึงมักจะเข้าใจกันได้ง่าย ถ้าหากเป็นคนละเชื้อชาติก็อาจจะก่อให้เกิดความขัดแย้งไม่เข้าใจกัน และอาจเกิดปัญหาการอพยพหรือย้ายกลับภูมิลำเนากับคู่สมรส ทำให้ชีวิตคู่ต้องแยกหรือพลัดพรากจากกันได้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม คู่สมรสที่มีเชื้อชาติต่างกันก็ไม่ใช่ว่าชีวิตสมรสจะล้มเหลวเสมอไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับที่การปรับตัวของคู่สมรส ถ้าได้ใช้ความพยายามอย่างแท้จริงในการทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน ก็จะสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขได้
2. ศาสนา เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า ศาสนาทุกศาสนามีจุดมุ่งหมายในการ อบรมสั่งสอนให้เป็นคนดี ละเว้นความชั่ว ส่วนหลักการและพิธีกรรมต่างๆ ของแต่ละศาสนาย่อมมีลักษณะแตกต่างกันออกไป ถ้าหากคู่สมรสนับถือศาสนาเดียวกัน ความเชื่อถือศรัทธาและการปฏิบัติตนตามพิธีกรรมทางศาสนาก็จะเป็นไปในแนวทางเดียวกัน แต่หากนับถือศาสนาต่างกันก็อาจจะมีปัญหากระทบต่อการดำเนินชีวิต เช่น คนหนึ่งจะไปวัดอีกคนไปโบสถ์ หรือเกิดปัญหาข้อขัดแย้งว่าจะให้บุตรที่เกิดมานับถือศาสนาอะไร เป็นต้น การตัดสินใจเลือกคู่ที่นับถือศาสนาต่างกันจึงจำเป็นต้องพยายามปรับตัวเข้าหากัน และไม่ควรนำประเด็นทางศาสนามาเป็นข้อโต้แย้งว่าศาสนาของงใครดีกว่าของใคร เพราะปัญหานี้ไม่มีข้อสรุปและอาจนำไปสู่ความแตกแยกในชีวิตสมรสได้ง่าย
3. การศึกษา การที่คู่สมรสมีระดับการศึกษาสูงหรือจบปริญญา แม้จะไม่ใช่เครื่องรับประกันความสำเร็จของชีวิตสมรสได้อย่างแน่นอนก็จริงอยู่ แต่จากตัวอย่างชีวิตสมรสจำนวนมากได้ชี้ให้เห็นว่า คนที่มีการศึกษาสูงมีแนวโน้มในการประสบความสำเร็จในชีวิตได้มากกว่าคนที่มีการศึกษาต่ำ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าการศึกษาช่วยทำให้บุคคลเจริญงอกงามทั้งทางร่างกาย จิตใจอารมณ์ สังคมและสติปัญญา ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อชีวิตสมรสหรือชีวิตครอบครัวเป็นอย่างมากและจากการศึกษาวิจัยโดยทั่วไปมักพบว่า คู่สมรสที่มีสติปัญญาและระดับการศึกษาใกล้เคียงกันมักจะมีโอกาสประสบความสุขและความสำเร็จในชีวิตสมรสมากกว่าคู่สมรสที่มีระดับการศึกษาต่างกันมาก เพราะระดับการศึกษาที่ใกล้เคียงกันจะช่วยทำให้คู่สมรสพูดจากันรู้เรื่องและเข้าใจกันได้ง่าย แต่หากคู่สมรสมีระดับการศึกษาต่างกัน ฝ่ายชายควรจะเป็นฝ่ายที่มีการศึกษาสูงกว่า ถ้าฝ่ายหญิงมีการศึกษาสูงกว่าฝ่ายชายมาก อาจทำให้เกิดปัญหาในการปรับตัวของฝ่ายชายได้
4. ฐานะทางเศรษฐกิจ ความพร้อมทางด้านเศรษฐกิจหรือฐานะการเงินนับเป็นข้อที่ควรพิจารณาอีกประการหนึ่งในการเลือกคู่ เพราะถ้าคู่สมรสมีฐานะทางการเงินไม่ดีการหารายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย ในขณะที่ครอบครัวต้องขยายตัวออกไป สมาชิกใหม่ในครอบครัวก็จะต้องเพิ่มขึ้น อาจมีผลกระทบให้เกิดปัญหาชีวิตครอบครัวได้ เว้นเสียแต่คู่สมรสนั้นจะต้องทำงานหนักเพื่อเพิ่มพูนรายได้และรู้จักประหยัดในการใช้จ่าย จึงจะทำให้ชีวิตดำเนินไปได้อย่างราบรื่น
5. บุคลิกภาพ คนเรามีบุคลิกภาพไม่เหมือนกัน บุคลิกลักษณะที่เป็นเสน่ห์อยู่ในตัวบุคคลก็แตกต่างกันออกไปด้วย เช่นขนาดของร่างกาย รูปร่าง หน้าตา กิริยาท่าทาง ท่วงทีวาจาอุปนิสัยใจคอ ความสนใจ ค่านิยม รสนิยม อุดมคติ ความประพฤติ ฯลฯ ลักษณะต่างๆ เหล่านี้ เกิดจากการผสมผสานกันระหว่างพันธุกรรม และประสบการณ์ทั้งหมดของแต่ละบุคคลเมื่อคนเราจะเลือกคู่ครองจึงจำเป็นจะต้องพิจารณาบุคลิกภาพ บุคลิกลักษณะของผู้ที่จะมาเป็นคู่ครอง หรือคู่ชีวิตของตนเองในอนาคตด้วยว่าบุคลิกภาพและบุคลิกลักษณะดังกล่าว เหมาะสมกับตนหรือไม่ ตนพอใจยอมรับที่จะอยู่ร่วมกันในชีวิตสมรสหรือไม่ ดังนั้นการศึกษาเรื่องบุคลิกภาพของคู่ครองก่อนแต่งงานจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก และชีวิตสมรสที่มีความสุขจะต้อง ประกอบด้วยบุคลิกภาพของชายและหญิงที่เข้ากันได้ และจะต้องทราบอุปนิสัยใจคอต่างๆ ของคู่สมรสก่อนแต่งงาน แม้ว่าบุคลิกภาพของคนเราจะเปลี่ยนแปลงได้ แต่ถ้าคู่สมรสฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดคิดว่าจะเปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพของอีกฝ่ายหนึ่งภายหลังการแต่งงานกันแล้ว ก็อาจจะเสี่ยงต่อความผิดหวังในชีวิตสมรสได้ ดังนั้นจึงควรพิจารณาให้รอบคอบก่อนที่จะตัดสินใจ
6. วุฒิภาวะทางอารมณ์ การที่ร่างกายของชายและหญิงเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่และพร้อมที่จะให้กำเนิดบุตรได้ มิได้หมายความว่า บุคคลผู้นั้นพร้อมที่จะแต่งงาน หรือมีครอบครัวได้ การแต่งงานหรือการสมรสจำเป็นต้องอาศัยความเจริญเติบโตของจิตใจ หรือความมีวุฒิภาวะทางอารมณ์เป็นหลักสำคัญประกอบด้วย เพราะผู้ที่บรรลุวุฒิภาวะทางอารมณ์ย่อมเป็นผู้ที่สามารถปรับตัวให้มีความสุขกับครอบครัว สังคม และสิ่งแวดล้อมต่างๆ ได้ดี ความสามารถในการปรับตัวนี้ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นมากที่สุดอย่างหนึ่งสำหรับชีวิตสมรสที่ประสบความสำเร็จ
บุคคลที่มีวุฒิภาวะอารมณ์ อาจสังเกตได้จากพฤติกรรมเหล่านี้
-  เป็นผู้ที่รู้จักและเข้าใจตนเองได้ดี
-  เป็นผู้รู้จักและเข้าใจผู้อื่นได้ดี
-  เป็นผู้ที่สามารถเผชิญกับความจริงแห่งชีวิตได้ดี
-  ตัดสินใจได้เอง เมื่อทำผิดก็ยอมรับผิด
-  มองอนาคตด้วยความหวัง และเต็มใจรอคอย
-  เข้าใจและยอมรับความแตกต่างระหว่างบุคคล
-  มีจิตใจมั่นคง และไม่ตกเป็นทาสของอารมณ์ได้ง่าย
-  มีอารมณ์ขัน และมองโลกในแง่ดี
-  ยอมรับกติกาหรือกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่มีอยู่ในสังคม
-  มีความสุขุมรอบคอบ รู้จักเหตุผล และรู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว
-  รู้จักหน้าที่และความรับผิดชอบสูง
-  สามารถประเมินผลการกระทำของตนเองได้
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อวุฒิภาวะทางอารมณ์ของบุคคลได้แก่ อายุ ผู้ที่มีอายุมากจะเป็นผู้ที่มีอารมณ์มั่นคงกว่าผู้ที่มีอายุน้อย และจากการศึกษาพบว่า อายุที่เหมาะสมกับการมีคู่ครองนั้นผู้ชายควรจะมีอายุระหว่าง 27-30 ปี ผู้หญิงควรมีอายุระหว่าง 21-25 ปี และไม่ควรแตกต่างกันเกิน 10 ปี เพราะความต่างวัยจะทำให้คู่สมรสปรับตัวเข้าหากันได้ยาก เนื่องจากความต้องการและความสนใจในกิจกรรมต่างๆ แตกต่างกัน ซึ่งอาจทำให้เกิดข้อขัดแย้งในชีวิตสมรสได้
7. สุขภาพ สุขภาพย่อมมีความสำคัญต่อบุคคล ผู้ที่มีสุขภาพดีนับว่าเป็นลาภอันประเสริฐ ดังพุทธภาษิตที่กล่าวว่า อโรคยา ปรมาลาภาสุขภาพเปรียบเหมือนวิถีทางหรือหนทางที่จะนำบุคคลไปสู่ความสุข และความสำเร็จต่างๆ ในชีวิตการทำงานและชีวิตการสมรส ดังนั้นผู้ ที่เราจะเลือกเป็นคู่ครองควรเป็นผู้ที่มีสุขภาพดีทั้งร่างกายและจิตใจ ก่อนการแต่งงานจึงควรให้แพทย์ตรวจสุขภาพของชายและหญิงว่ามีโรคใดบ้างที่สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรม ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อชีวิตการสมรส เช่น การตรวจหมู่เลือด หรือการผิดปกติเกี่ยวกับเลือด และโรคที่สามารถถ่ายถอดทางพันธุกรรม และหากพบว่ามีโรคภัยไข้เจ็บก็ควรได้รับการรักษาให้หายเสียก่อน
จากข้อควรพิจารณาในการเลือกคู่ครองที่กล่าวมาพอสรุปได้ว่า การเลือกคู่ครองที่มีเชื่อชาติ ศาสนา การศึกษา เศรษฐกิจและระดับวุฒิภาวะทางอารมณ์ที่คล้ายกันหรือใกล้เคียงกัน จะช่วยให้ชีวิตสมรสประสบผลสำเร็จมากกว่าคู่ครองที่มีสิ่งเหล่านี้แตกต่างกัน แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่าคู่ครองที่มีภูมิหลังแตกต่างกันจะไม่ประสบผลสำเร็จในชีวิตสมรส ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรัก ความเข้าใจ การยอมซึ่งกันและกันที่จะช่วยให้คู่สมรสประสบผลสำเร็จในชีวิตได้อย่างไรก็ตาม การที่ชายและหญิงเลือกคู่ครองของตน ก็ควรได้มีการปรึกษาพ่อ แม่ หรือญาติผู้ใหญ่ ซึ่งเป็นผู้ที่มีประสบการณ์มากกว่าเพื่อรับคำแนะนำที่ถูกต้อง และเกิดการยอมรับในการตัดสินใจเลือกคู่ครองของคู่สมรส

เมื่อไร...ควรมีลูก


คู่สมรสควรมีความพร้อมทางด้านกายและจิตใจ
อันดับแรกเราควรที่จะพร้อมทั้งด้านร่างกายก่อนว่าสุขภาพของเราต ้อนนี้ดีพร้อมที่จะตั้งครรภ์ลูกน้อยหรือยัง โดยเฉพาะสุภาพสตรี ควรไปปรึกษาสูตินรีแพทย์เพื่อตรวจร่างกายดูสุขภาพทั่วไป โรคประจำตัว ตรวจทั้งการเพาะเชื้อจากปากมดลูก ตรวจมะเร็งปากมดลูก รวมทั้งการตรวจหาภูมิต้านทานโรคหัดเยอรมัน และไข้สุกใส หากไม่มีภูมิคุ้มกันเหล่านี้ แพทย์ก็จะแนะนำให้ฉีดวัคซีนซึ่งก็ต้องใช้เวลาอีก 3 เดือนจึงจะตั้งครรภ์ได้
นอกจากนี้ ก็ควรดูที่จิตใจของเราว่าตอนนี้อยู่ในสภาพอะไร ดีหรือไม่ดี สำหรับท่านที่ดื่มสุรา ติดยาเสพติด และสูบบุหรี่ (รวมทั้งสตรีที่สามีสูบบุหรี่ด้วยเช่นกัน) ควรจะละหรือเลิกเสียก่อน เพราะจะทำให้ตั้งครรภ์ยาก และหากตั้งครรภ์ก็อาจจะมีผลเสียต่อเด็กในครรภ์

คู่สมรสควรมีความพร้อมในการปรับตัว
ชีวิตของเราเป็นอย่างไรเมื่อครั้งก่อนนั้น มันอยู่ในสภาพแบบไหน ถ้าชีวิตที่ยังชอบสนุกสนานอยู่ก็ไม่ควรที่จะมีลูก แต่ถ้าชีวิตพร้อมที่จะมีสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นก็ควรที่จะลืมชีวิต แบบเก่าเสีย แล้วจึงตัดสินใจที่จะมีลูก และจะต้องเตรียมพร้อมสำหรับการปรับตัว และเปลี่ยนแปลงชีวิต เป็นแบบอย่าง เพื่อจะได้สอนลูกตามหลักการของพ่อแม่ที่ดีต่อไป
สุขภาพร่างกายของภรรยา ต้องแข็งแรงทั้งสุขภาพกายและจิตใจ
ความแข็งแรงของร่างกายจะช่วยให้คุณผู้หญิงตั้งครรภ์และคลอดอย่า งปลอดภัย ทั้งนี้ มีการศึกษาว่า หากออกกำลังตั้งแต่ก่อนการตั้งครรภ์ และระหว่างการตั้งครรภ์ จะทำให้คลอดได้ง่าย รวมถึงการควบคุมน้ำหนักไม่ให้มาก หรือน้อยกว่า 15% ของน้ำหนักมาตรฐาน จะทำให้เด็กเจริญเติบโตได้ดี หากคุณน้ำหนักน้อยกว่ามาตรฐานเกิน 15% แสดงว่าคุณผอมเกินไป ทำให้ตั้งครรภ์ยาก ซึ่งข้อควรระวังจากผล กระทบเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ในเดือนแรกๆ นั้น อาจจะมีอาการคลื่นไส้อาเจียน น้ำหนักคุณผู้หญิงจะลดลงอีก ซึ่งแนะนำว่าคุณผู้หญิงควรจะเพิ่มน้ำหนัก ก่อนการตั้งครรภ์ ที่สำคัญอย่างยิ่งคือ พยายามอย่าให้เครียด เพราะความเครียดจะมีผลเสียต่อการตั้งครรภ์ ทำให้ตั้งครรภ์ยาก คลอดก่อนกำหนด เด็กคลอดออกมาก็จะมีน้ำหนักน้อย
***การมีลูกถือเป็นการเพิ่มภาระหน้าที่ให้กับคู่สมรสอีกทางหนึ่ ง ดังนั้น คู่สมรสควรมีความพร้อมทางด้านเศรษฐกิจและการเงิน ซึ่งจะต้องมีฐานะที่มั่นคงพอสมควร จึงควรเก็บเงินไว้สักก้อนหนึ่งก่อนที่จะมีลูก เพื่อจะได้ไม่ขัดสน และเมื่อมีลูกออกมาแล้วนั้น ผู้เป็นพ่อแม่จะต้องดูว่าเศรษฐกิจการเงิน ของครอบครัวด้วยว่าเป็นอย่างไร โดยจะต้องจัดทำตารางรายรับรายจ่ายอยู่เสมอ เพื่อจะรู้ว่าในแต่ละครั้งเราใช้เงินมากหรือน้อย เงินพอที่จะเก็บไว้ในอนาคตหรือไม่ ต้องรู้จักการวางแผนการใช้เงินให้เป็น

ต้องให้เวลาในการเลี้ยงลูก
เพราะการเติบโตที่ดีของลูกนั้น ย่อมมาจากการเลี้ยงดูที่ดีของผู้เป็นพ่อและแม่ ที่จะต้องให้ความรัก ความอบอุ่น และการดูแลเอาใจใส่อย่างสม่ำเสมอ เพื่ออนาคตที่ดีของลูกต่อไป

กิจกรรมที่ต้องดำเนินการในการวางแผนครอบครัว


1. ป้องกันการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงปรารถนา
2. ให้การรักษาการเป็นหมัน
3. ให้คำแนะนำก่อนการสมรส
4. ให้คำแนะนำแก่หญิงตั้งครรภ์และให้บริการการคลอดบุตร
5. ให้ความรู้เกี่ยวกับการวางแผนครอบครัว